คำแนะนำในการคงสภาพสินค้าโดยการขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิ
ไม่ว่าจะเป็นอะโวคาโดออสเตรเลียซึ่งกำลังสุกได้ที่เพื่อการบริโภคในช่วงฤดูหนาว หรือวัคซีนช่วยชีวิตที่ต้องส่งไปยังพื้นที่ห่างไกล การรับประกันว่าสินค้าที่เสื่อมเสียได้ง่ายจะได้รับการจัดส่งถึงมือผู้รับในทุกจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัยและตรงเวลาคือความสำเร็จในแง่โลจิสติกส์
โชคดีที่การขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิหรือ Reefer Logistics ช่วยแก้ปัญหานี้ได้ด้วยการขนส่งและการจัดเก็บแบบพิเศษ ซึ่งจำเป็นสำหรับสินค้าที่ไวต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ผลิตภัณฑ์ในห่วงโซ่การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมินั้นมีหลากหลายประเภท ตั้งแต่สินค้าที่เสื่อมเสียได้ง่ายอย่าง ผลไม้ ผัก เนื้อสัตว์ และผลิตภัณฑ์จากนม ไปจนถึงเภสัชภัณฑ์ สารเคมี และแม้กระทั่งผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์บางประเภท
การเก็บรักษาความเย็น: มาดูกันว่าตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิได้ทำงานอย่างไร
ตู้คอนเทนเนอร์เย็น เป็นชื่อเรียกแบบย่อของตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิได้ หลัก ๆ คือจะเป็นตู้เย็นขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทำให้สินค้ามีอุณหภูมิอยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ เพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยให้กับสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน เป็นชื่อเรียกแบบย่อของตู้คอนเทนเนอร์แบบควบคุมอุณหภูมิได้ หลัก ๆ คือจะเป็นตู้เย็นขนาดใหญ่ยักษ์ที่ทำให้สินค้ามีอุณหภูมิอยู่ในระดับที่กำหนดเสมอ เพื่อรักษาคุณภาพและความปลอดภัยให้กับสินค้าตลอดห่วงโซ่อุปทาน
เราสามารถแยกการทำงานของตู้คอนเทนเนอร์เย็นออกได้ดังนี้:
1. ระบบทำความเย็น
ชุดทำความเย็นซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณส่วนท้ายด้านใดด้านหนึ่งของตู้คอนเทนเนอร์คือหัวใจหลักของระบบ ชุดทำความเย็นนี้จะใช้คอมเพรสเซอร์ คอยล์ร้อน คอยล์เย็น และสารทำความเย็นเหมือนกับตู้เย็นทั่ว ๆ ไป
มื่อเสียบปลั๊กเข้ากับแหล่งจ่ายไฟแล้ว คอมเพรสเซอร์จะส่งสารทำความเย็นซึ่งดูดกลืนความร้อนจากอากาศภายในตู้คอนเทนเนอร์ให้ไหลผ่านคอยล์เย็น พัดลมที่อยู่ในชุดทำความเย็นจะเป่าอากาศที่เย็นแล้วเข้าไปในตู้คอนเทนเนอร์
2. ระบบการไหลเวียนอากาศ
ตู้คอนเทนเนอร์เย็นมีพื้นตู้เป็นรูปตัวที (T) ซึ่งออกแบบขึ้นเป็นพิเศษให้มีช่องกระจายอากาศเย็นที่พื้นด้านล่างอย่างทั่วถึง เนื่องจากอากาศเย็นจะตกลงสู่ด้านล่าง อากาศเย็นนี้จึงเพิ่มมากขึ้นจนทั่วทั้งตู้ ทำการดูดกลืนความร้อน และรักษาอุณหภูมิให้คงที่
อากาศอุ่นจะไหลย้อนกลับไปที่ด้านหน้าตู้คอนเทนเนอร์และถูกดูดกลับเข้าไปชุดทำความเย็นเพื่อผ่านกระบวนการทำให้เย็นอีกครั้ง เกิดเป็นวงจรการไหลเวียนที่ต่อเนื่อง
3. ระบบควบคุมอุณหภูมิ
ของที่สามารถเสื่อมเสียได้จะมีอุณหภูมิในการเก็บรักษาต่างกันไป ผลไม้และผักส่วนมากต้องการสภาพแวดล้อมแบบแช่เย็น ในขณะที่เนื้อสัตว์และอาหารทะเลต้องการอุณหภูมิระดับแช่แข็ง ดังนั้น ตู้คอนเทนเนอร์เย็นจึงมีระบบควบคุมอุณหภูมิให้เลือกหลายช่วงซึ่งปกติมักอยู่ระหว่าง -30°C ถึง +30°C การตั้งค่าอุณหภูมิที่ต้องการสามารถทำได้จากแผงควบคุมด้านในตู้คอนเทนเนอร์ จากนั้น ระบบจะปรับขั้นตอนการทำความเย็นโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาค่าอุณหภูมิที่เหมาะสมนี้ไว้
สินค้าบางประเภท เช่น ผลไม้และผัก จึงได้รับประโยชน์จากการควบคุมความชื้นทำให้ไม่เน่าเสีย ชุดทำความเย็นยังอาจมีฟังก์ชันลดความชื้นซึ่งจะขจัดความชื้นที่มากเกินไปออกจากอากาศ ยกตัวอย่างเช่น ตู้คอนเทนเนอร์เย็นของ DHL ที่ติดตั้งฟังก์ชันควบคุมความชื้น เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเชื้อรา ราสาย และการสูญเสียน้ำ ในการเลือกระดับความชื้นสามารถตั้งค่าความชื้นสัมพัทธ์ได้ตั้งแต่ 50 เปอร์เซ็นต์จนถึง 95 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่การลดความชื้นสามารถตั้งค่าอุณหภูมิได้มากกว่าหรือเท่ากับลบ 10°C เท่านั้น
สิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างก็คือการระบายอากาศ สินค้าบางประเภทต้องมีการแลกเปลี่ยนอากาศบริสุทธิ์เพื่อขจัดแก๊สจากระบบการหายใจของสินค้าที่ปล่อยออกมาในระหว่างการขนส่ง ระบบตู้คอนเทนเนอร์เย็นสามารถปรับค่าเพื่อทำการแลกเปลี่ยนอากาศในแบบที่ควบคุมได้
ปัญหาหรืออุปสรรคที่เกิดขึ้นในการขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิมีอะไรบ้าง
การขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิต้องเผชิญกับปัญหาหลากหลายรูปแบบ เช่น การรักษาอุณหภูมิให้คงที่ ข้อผิดพลาดที่เกิดจากคน และข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม
1. การรักษาอุณหภูมิและความชื้นให้คงที่
ตู้คอนเทนเนอร์เย็นจำเป็นต้องมีแหล่งจ่ายไฟที่ให้กำลังไฟคงที่สม่ำเสมอ เพื่อรักษาอุณหภูมิให้อยู่ในช่วงที่ต้องการและป้องกันไม่ให้เกิดความชื้นสะสม เรื่องนี้อาจกลายเป็นความท้าทายระหว่างการขนส่งได้เมื่อต้องเปลี่ยนแหล่งจ่ายไฟ (เครื่องปั่นไฟ ปลั๊กไฟ) และหากบนลานตู้คอนเทนเนอร์มีบริเวณที่มีระบบการจ่ายไฟที่เหมาะสมอยู่ไม่มากนัก
นอกจากนี้ ระบบทำความเย็นที่ทำงานผิดปกติยังอาจทำให้สินค้าเน่าเสียได้หากเกิดการกวัดแกว่งของอุณหภูมิหรือไม่สามารถคงสภาพการไหลเวียนอากาศที่เหมาะสมเอาไว้ได้
ทางออกที่ง่ายที่สุดสำหรับปัญหานี้คือการใช้โปรแกรมการบำรุงรักษาเชิงป้องกัน เพื่อตรวจสอบและระบุสิ่งที่อาจเป็นปัญหาก่อนที่ระบบตู้คอนเทนเนอร์เย็นจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น
การฝึกอบรมบุคลากรให้ทำการตรวจสภาพอย่างถูกต้องก่อนเริ่มใช้งานจะช่วยให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ก่อนทำการโหลดและขนส่งสินค้า
ข้อมูลแบบเรียลไทม์นี้ช่วยให้ทำการปรับเปลี่ยนได้ทันเวลาเพื่อรักษาสภาพให้เหมาะสมที่สุดและป้องกันไม่ให้สินค้าเกิดการเน่าเสีย
2. ข้อผิดพลาดที่เกิดจากคนในกระบวนการทำงานแบบแมนนวล
การทำงานของตู้คอนเทนเนอร์เย็นเป็นกระบวนการแบบเน้นแรงงานเช่นกัน เพราะการเสียบปลั๊ก/ถอดปลั๊กตู้คอนเทนเนอร์ การตรวจติดตามสถานะ และการบันทึกข้อมูลจำเป็นต้องใช้คนทำงาน นี่จึงเป็นช่องว่างที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาดจากคนและอาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในห่วงโซ่การควบคุมอุณหภูมิได้ หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานอย่างถูกต้อง
ในการแก้ไขปัญหานี้ ควรเปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติในทุกส่วนที่สามารถทำได้ เช่น การใช้ระบบเสียบปลั๊ก/ถอดปลั๊กอัตโนมัติ การรวบรวมข้อมูลแบบเรียลไทม์ และการจัดเก็บเอกสารแบบดิจิทัล ที่จะช่วยลดข้อผิดพลาดให้เหลือน้อยที่สุดและทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำยิ่งขึ้น
3. ข้อกังวลด้านสิ่งแวดล้อม
ความท้าทายอย่างสุดท้ายคือแรงกดดันในการทำให้การขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิกลายเป็นกระบวนการที่มีความยั่งยืนยิ่งขึ้น ระบบขนส่งทั่วไปที่ใช้น้ำมันดีเซลซึ่งขากลับจะเป็นตู้สินค้าที่ว่างเปล่ามีส่วนสร้างรอยเท้าทางสิ่งแวดล้อมที่สำคัญมาก
ในขณะที่อุตสาหกรรมมีการตอบสนองด้วยการเลือกใช้เชื้อเพลิงชีวภาพและใช้ซอฟต์แวร์ขั้นสูงในการค้นหาเส้นทางที่เหมาะสมที่สุด ผู้ขนส่งเองก็ควรพิจารณาว่าสินค้าของตนจำเป็นต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์เย็นจริง ๆ หรือไม่ ใช่ว่าการขนส่งทุกรอบจะต้องใช้ตู้คอนเทนเนอร์เย็นแบบครบชุดเสมอไป และเราอาจใช้ประโยชน์จากตัวเลือกตู้คอนเทนเนอร์เย็นแบบอื่น เช่น ตู้คอนเทนเนอร์แบบบุฉนวน และสารทำความเย็น
อย่าหวั่นใจ: อนาคตของการขนส่งด้วยตู้ควบคุมอุณหภูมิ
จะเห็นได้ว่าตลาดของห่วงโซ่การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิทั่วโลกมีอัตราการเติบโตต่อปีแบบทบต้นที่น่าตกใจอยู่ที่ 13 เปอร์เซ็นต์ และทวีมูลค่าขึ้นเป็น 862.33 พันล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2032 จึงกล่าวได้ว่าห่วงโซ่การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิที่มีประสิทธิภาพนั้นมีอุปสงค์ที่ชัดเจนและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อัตราการเติบโตนี้ถูกกระตุ้นโดยความต้องการของผู้บริโภคซึ่งต้องการอาหารสดใหม่ที่ดีต่อสุขภาพ การขยายตัวของอีคอมเมิร์ซในหมวดสินค้าที่เสื่อมเสียได้ง่าย และความเจริญรุ่งเรืองของเภสัชอุตสาหกรรม
เมื่อเป็นเช่นนี้ ต้องทำอย่างไรเพื่อให้ธุรกิจยังคงนำหน้าคู่แข่งและไม่ถูกมองข้าม
บริษัทสามารถใช้ประโยชน์จากแนวโน้มนี้ได้ด้วยการเปิดรับพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ การร่วมงานกับผู้ประกอบการห่วงโซ่การขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิที่มีประสบการณ์นับเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้ได้มาซึ่งความเชี่ยวชาญและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น
ท้ายที่สุดแล้ว ในโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การปรับตัวคือสูตรแห่งความสำเร็จ หากไม่ ก็ต้องอยู่ให้รอด
คุ้มค่าที่จะอ่านเช่นกัน